คำสุภาพ
ถ้อยคำต่างๆที่เราพูดจากันโดยทั่วไปนั้น
บางคำก็มิควรจะกราบบังคมทูลบางคำก็ควร
ถ้าหากคำใดมิควรเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเสียให้เหมาะสม
การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำต่างๆให้เหมาะสม
การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำต่างๆให้เหมาะสมนี่เราเรียกว่า “คำสุภาพ”
คำสุภาพเป็นส่วนหนึ่งของราชาศัพท์ ซึ่งมีลักษณะที่ควรสังเกตดังต่อไปนี้
๑. ไม่ควรใช้ถ้อยคำอุทานที่ไม่สุภาพ เช่น โว้ย
เว้ย หรือคำสาบานที่หยาบคาย เช่น ให้ตายห่า ให้ฉิบหาย หรือพูดกระชากเสียง เช่น
เปล่า ไม่ใช่ เป็นต้น ทำงานอยู่กับบ้าน ผ่าน net 100% รายได้
5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ http://offto.net/bigW/
๒.
ไม่ควรใช้คำที่ถือว่าหยาบคายคือ
ก. คำว่า “ไอ้” ควรใช้”สิ่ง” แทนเช่น ไอ้นี่ได้นั้น ควรเป็นสิ่งนี้ สิ่งนั้นหรือตัดคำว่า”ไอ้” ทิ้งเสียเลย เช่น ปลาไอ้บ้า เป็นปลาบ้า
ข. คำว่า “อี” ควรใช้คำว่า”นาง” เช่น อีเห็น เป็นนางเห็น อีเลิ้ง เป็นนางเลิ้ง
ค. คำว่า “ขี้” ควรใช้คำว่า “ อุจจาระ” หรือ “คูถ” แทนหรือบางที่ตัดออกเสียเลย ก็ได้ เช่น ดอกขี้เหล็ก เป็นดอกเหล็ก หรือเปลี่ยนเสียก็ได้ เช่น ขี้มูกเป็นน้ำมูก ขนมขี้หนู เป็นขนมทราย
ง. คำว่า “เยียว” ควรใช้คำว่า “ปัสสาวะ” หรือ “มูตร” แทน
ก. คำว่า “ไอ้” ควรใช้”สิ่ง” แทนเช่น ไอ้นี่ได้นั้น ควรเป็นสิ่งนี้ สิ่งนั้นหรือตัดคำว่า”ไอ้” ทิ้งเสียเลย เช่น ปลาไอ้บ้า เป็นปลาบ้า
ข. คำว่า “อี” ควรใช้คำว่า”นาง” เช่น อีเห็น เป็นนางเห็น อีเลิ้ง เป็นนางเลิ้ง
ค. คำว่า “ขี้” ควรใช้คำว่า “ อุจจาระ” หรือ “คูถ” แทนหรือบางที่ตัดออกเสียเลย ก็ได้ เช่น ดอกขี้เหล็ก เป็นดอกเหล็ก หรือเปลี่ยนเสียก็ได้ เช่น ขี้มูกเป็นน้ำมูก ขนมขี้หนู เป็นขนมทราย
ง. คำว่า “เยียว” ควรใช้คำว่า “ปัสสาวะ” หรือ “มูตร” แทน
๓.ไม่ควรใช้คำผวน
หรือใช้คำใดก็ตามเมื่อผวนหางเสียงหรือท้ายคำกลับมาไว้ข้างหน้าแล้ว
คำนั้นจะเป็นคำที่ไม่สุภาพทันที เช่น คุณหมอจ๋า ผวนเป็นคุณหมาจ๋อ เป็นต้น
ในเรื่อง “ คำหยาบและคำสุภาพ”
นั้น ม.ล. ปีย์ มาลากุล ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ การใช้ถ้อยคำและราชาศัพท์” ว่าเมื่อกล่าวถึง “คำหยาบ” และคำ “สุภาพ” นั้นความหมายที่แท้จริงของ”คำหยาบ” หาใช่หมายถึงเฉพาะคำโลนหรือคำที่ใช้ในการกล่าวผรุสวาจาเท่านั้นไม่
ที่ถูกแล้วน่าจะเรียกคำสามัญ และคำวิสามัญ มากกว่า เช่น คำว่ามือ ตีน กิน เดิน นอน
ก็ไม่น่าจะเป็นคำหยาบอะไรแต่คำเหล่านี้ไปใช้พูดกับคนที่อาวุโสกว่าคำเหล่านั้นถือเป็นคำหยาบ
ต้องเปลียนใช้คำอื่น เช่น จะพูดว่า “ตีน” ก็ต้องเปลี่ยนเป็น “เท้า” เป็นต้น
ทำงานอยู่กับบ้าน ผ่าน net 100% รายได้ 5
หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ http://offto.net/newbiz/
คำสุภาพที่ควรรู้
คำสามัญ คำสุภาพ
กล้วยก = กล้วยสั้น
กล้วยไข่ = กล้วยเปลือกบาง
กล้วยบวช = นารีจำศีล
กองดิน = มูลดิน
กะปิ = เยื่อเคย
ขนมขี้หนู = ขนมทราย
ขนมจี = ขนมเส้น
ขนมตาล = ขนมทองฟู
ขนมเทียน = ขนมบัวสาว
ขนมใส่ไส้ = ขนมสอดไส้
ขี้กลาก = โรคกลาก
ขี้เกลื้อน = โรคเกลื้อน
ขี้ครั่ง = มูลครั่ง
ขี้ควาย = มูลควาย
ขี้ช้าง = มูลช้าง
ขี้ดิน = มูลดิน
ขี้ตืด = ตระหนี่
ขี้นก = มูลนก
ขี้บุหรี่ = เถ้าบุหรี่
ขี้ผึ้ง = สีผึ้ง
ขี้เรื้อน = โรคเรื้อน
ขี้วัว = มูลวัว
ขี้สัตว์ = มูลสัตว์
ขึงตาข่ายดักสัตว์ = วางข่าย
คนป่วย = คนไข้ คนเจ็บ
คลองเจ็ดแยก = คลองเจ็ดแถว
ควาย = กระบือ
ควายขี้ = กระบือถ่ายมูล
จับไข้ = เป็นไข้
เจ็ดอย่าง = เจ็ดประการ
เจ็ดโยชน์ = สองพันแปดร้อยเส้น
ช้างขี้ = ช้างถ่ายมูล
ช้างตัวเมีย = พัง
ช้างตัวผู้ = พลาย
คำสามัญ = คำสุภาพ
ช้างแม่แปรก ช้างพังที่เป็นหัวหน้าของโขลง = ช้างแม่หนัก
ช้าง ๒ ตัว = ช้าง 2 เชือก ช้าง 2 ช้าง
ดอกขี้เหล็ก = ดอกเหล็ก
ดอกซ่อนชู้ = ดอกซ่อนกลิ่น
ดอกนมแมว = ดอกถันวิฬาร์
ดอกผักตบ = ดอกสามหาว
ดอกผักบุ้ง = ดอกทอดยอด
ดอกมะลิ = ดอกมัลลิกา
ดอกยี่หุบ = ดอกมณฑาขาว
ดอกลั่นทม = ลั่นทม
ดอกสลิด = ดอกขจร
ดอกอีนูน = ดอกนางนูน
ตกปลา = วางเบ็ด
ต้นจันทน์แดง = ต้นรัตนจันทร์
ต้นตำแย = ต้นอเนกคุณ
ต้นเถานมช้าง = ต้นเถาถันหัตถินี
ต้นทองกวาว = ต้นปาริชาติ
ต้นทองหลาง = ต้นปาริฉัตร
ต้นพุงดอ = ต้นหนามรอบข้อ
ต้นอีเกร็ง = ต้นเหงือกปลาหมอ
ตากแดด = ผึ่งแดด
ตีน = เท้า
ตีอวน = วางอวน
ตึกแปด = อาคารแปด
แตงโม = ผลอุลิด
ถั่วงอก = ถั่วเพาะ
ถั่วดำต้มหวาน = จรกาลงสรง
เถาตูดหมูตูดหมา = เถากระพับโหม
เถาย่านาง = เถาวัลย์เขียว
เถาหมามุ่ย = เถามุ่ย
เถาหัวลิง = เถาศีรษะวานร
ที่ห้า = ครบห้า
ที่หก = ครบหก
โทรทัศน์ช่องห้าสี = โทรทัศน์สีช่องห้า
ทางเจ็ดแยก = ทางเจ็ดตำบล
คำสามัญ = คำสุภาพ
นกขี้ = นกถ่าย
นกอีลุ้ม = นางลุ้ม
บางชีหน( ชื่อตำบล ) = บางชีโพน
บางอีร้า = บางนางร้า
บุตรคนหัวปี( เจ้านาย) = บุตรคนโต
ปลิง = ชัลลุกา
ปลาช่อน = ปลาหาง
ปลาร้า = ปลามัจฉะ
ปลาลิ้นหมา = ปลาลิ้นสุนัข
ปลาสลิด = ปลาใบไม้
ปลาไหล = ปลายาว
ผักกะเฉด = ผักรู้นอน
ผักตบ = ผักสามหาว
ผักบุ้ง = ผักทอดยอด
ผักปลาบ = ผักไห่
ผักปอด = ผักปัปผาสะ
ผักอีลิ้น = ผักนางลิ้น
ผัว = สามี
ฝีดาษ = ไข้ทรพิษ
พริกขี้หนู = พริกเม็ดเล็ก
ฟักทอง = ฟักเหลือง
มะเขือยาว = มะเขืองาช้าง
ม้า ๒ ตัว = ม้า ๒ ม้า
แมว = วิฬาร วิฬาร์
เมีย = ภรรยา ภริยา
ฤาษีแปดตน = ฤาษีแปดรูป
ลิง = วานร
ลูกขี้กา = ผลมูลกา
ลูกตะลิงปลิง = ผลมูลละมั่ง
ลูกไม้ = ผลไม้
ลูกอีนูน = ผลนางนูน
โลงผี = หีบศพ
วัว = โค
สองบาท = แปดสลึง
สองสลึง = ห้าสิบสตางค์
คำสามัญ = คำสุภาพ
สัตว์ขี้ = สัตว์ถ่ายมูล
สัตว์ออกไข่ = วางไข่
สัตว์ออกลูก = ตกลูก
สากกะเบือ = ไม้ตีพริก
สี่หุน = สี่ครั้ง
ไส้เดือน = รากดิน
หมอตำแย = ผดุงครรภ์
หอยอีรม = หอยนางรม
หมู = สุนัข
หมู = สุกร
หัวปลี = ปลีกล้วย
หัวสิ่งที่มีชีวิต = ศีรษะ
หิน = ศิลา
เห็ดโคน = เห็นปลวก
เห็นควรด้วย = เห็นสมควร
ออกลูก = คลอดลูก
อีกา = กา นกกา
อีเก้ง = เก้ง นางเก้ง
อีเลิ้ง = นางเลิ้ง
อีแร้ง = แร้ง นกแร้ง
อีเห็น = นางเห็น
คำว่า “ ใส่ ” ที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้
คำว่า
“ ใส่ ” ใช้ในคำกราบบังคมทูลได้เฉพาะของที่ไม่มีตัวตนคือ
ใส่ความ ใส่โทษ
เอาใจใส่ ใส่ใจรักใคร่ ใส่จริต
และอื่น ๆ ส่วนของที่มีตัวใช้คำว่า
“ ใส่ ” ไม่ได้ทั้งหมด
เช่น
“ ใส่เสื้อ ใส่กางเกง ” ก็ว่า “ สวมเสื้อ สวมกางเกง ” หรือ “ ทรงฉลองพระองค์ , ทรงพระสนับเพลา ” “ ใส่หมวก ” ก็ว่า “ สวมหมวก ” หรือพระเจ้าแผ่นดินก็ว่า “ ทรงพระมาลา ”
ส่วนเจ้านายใช้ว่า “ทรงพระตุ้มปี่ ”
“ ใส่ดุม ” ก็ว่า “ รัดดุม ” “ ใส่กำไร ” ก็ว่า “ สวมกำไล ” “ ใส่ปิ่น ” ก็ว่า “ ปักปิ่น ” “ ใส่สร้อย ใส่จี้
” ก็ว่า “ ผูกสร้อย ผูกจี้ ”
“ ใส่โซ่ ใส่ตรวน ใส่ขื่อ ใส่คา ” ก็ว่า “ จำโซ่ จำตรวน จำขื่อ จำคา”
“ ใส่คุก ” ก็ว่า “ จำคุก ส่งจำ ขังคุก เข้าคุก ”
“ ใส่ตะราง ” ก็ว่า “ ขังตะราง ”
“ ใส่เล้า ” ก็ว่า “ ขังเล้า ”
“ ใส่กรง ” ก็ว่า “ ขังกรง หรือไว้ในกรง ”
“ ใส่หม้อ ใส่ไห ใส่ขวด ”ก็ว่า “ กรอกหม้อ กรอกไห กรอกขวด ”
“ ใส่คลัง ” ก็ว่า “ ขึ้นคลัง ส่งคลัง เข้าคลัง หรือเก็บในคลัง ”
ถ้าพูดถึง “ ของใส่หีบ ใส่ตู้ ใส่ถุง ”ก็ว่า “ ของในหีบ ในตู้ ในถุง ” ถ้าพูดถึงกริยาก็ว่า“ เข้าหีบ เข้าตู้ เข้าถุง ”
“ ใส่ยุ้ง ใส่ฉาง ” ก็ว่า “ ขึ้นยุ้ง ขึ้นฉาง ”
“ ใส่เรือ ใส่รถ ” ถ้าเป็นสินค้าหรือของมากก็ว่า “ บรรทุกเรือ บรรทุกรถ ” ถ้าเป็นของน้อยก็ว่า “ ไว้ในเรือ ไว้ในรถ ”
“ ใส่ช้าง ใส่เกวียน ใส่ต่าง” ถ้ามาก ก็ว่า“ บรรทุกช้าง บรรทุกเกวียน บรรทุกต่าง ” ถ้าน้อยก็ว่า “ ขึ้นช้าง ขึ้นเกวียน ขึ้นต่าง ”
“ ใส่กระบุง ตะกร้า ตะแกรง ” ก็ว่า “ ไว้ในกระบุง ตะกร้า ตะแกรง ”
“ ใส่กุญแจ ใส่กลอน ” ก็ว่า “ ลั่นกุญแจ ลั่นกลอน ”
“ ตักน้ำใส่ตุ่ม ใส่ถัง ” ก็ว่า “ ขังตุ่ม ขังถัง ”
“ ใส่หมุด ” คำนี้ ถ้าเป็นหมุดแผง ก็ว่า “ สอดหมุด ” ถ้าเป็นหมุดตรึงหรือหมุดขัดสิ่งของใด ๆ ก็ว่า “ ตรึงหมุด ขัดหมุด ”
“ ใส่ยา ” ก็ว่า “ ทายา ปิดยา พอกยา ”
“ บ้วนใส่กระโถน ” ก็ว่า “ บ้วนลงกระโถน ”
มีบางคำที่ฟังดูเคอะเขิน เช่น การจะกราบบังคมทูลพระกรุณาถึงสิ่งที่สกปรกหรือลามกอนาจาร เช่น กราบบังคมทูลถวายรายงานอาการไข้ เมื่อจะกล่าวถึงการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มักใช้ว่า “ ไม่ควรจะกราบบังคมทูลพระกรุณาคนไข้ได้ปัสสาวะ ๕ ครั้ง อุจจาระ ๒ ครั้ง ” ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชบันทึกมาเป็นการล้อ ๆ ในรายงานอาการไข้ว่าเมื่อไม่ควรกราบบังคมทูลพระกรุณา แล้วบอกมาทำไม ” ดังนี้
“ ใส่โซ่ ใส่ตรวน ใส่ขื่อ ใส่คา ” ก็ว่า “ จำโซ่ จำตรวน จำขื่อ จำคา”
“ ใส่คุก ” ก็ว่า “ จำคุก ส่งจำ ขังคุก เข้าคุก ”
“ ใส่ตะราง ” ก็ว่า “ ขังตะราง ”
“ ใส่เล้า ” ก็ว่า “ ขังเล้า ”
“ ใส่กรง ” ก็ว่า “ ขังกรง หรือไว้ในกรง ”
“ ใส่หม้อ ใส่ไห ใส่ขวด ”ก็ว่า “ กรอกหม้อ กรอกไห กรอกขวด ”
“ ใส่คลัง ” ก็ว่า “ ขึ้นคลัง ส่งคลัง เข้าคลัง หรือเก็บในคลัง ”
ถ้าพูดถึง “ ของใส่หีบ ใส่ตู้ ใส่ถุง ”ก็ว่า “ ของในหีบ ในตู้ ในถุง ” ถ้าพูดถึงกริยาก็ว่า“ เข้าหีบ เข้าตู้ เข้าถุง ”
“ ใส่ยุ้ง ใส่ฉาง ” ก็ว่า “ ขึ้นยุ้ง ขึ้นฉาง ”
“ ใส่เรือ ใส่รถ ” ถ้าเป็นสินค้าหรือของมากก็ว่า “ บรรทุกเรือ บรรทุกรถ ” ถ้าเป็นของน้อยก็ว่า “ ไว้ในเรือ ไว้ในรถ ”
“ ใส่ช้าง ใส่เกวียน ใส่ต่าง” ถ้ามาก ก็ว่า“ บรรทุกช้าง บรรทุกเกวียน บรรทุกต่าง ” ถ้าน้อยก็ว่า “ ขึ้นช้าง ขึ้นเกวียน ขึ้นต่าง ”
“ ใส่กระบุง ตะกร้า ตะแกรง ” ก็ว่า “ ไว้ในกระบุง ตะกร้า ตะแกรง ”
“ ใส่กุญแจ ใส่กลอน ” ก็ว่า “ ลั่นกุญแจ ลั่นกลอน ”
“ ตักน้ำใส่ตุ่ม ใส่ถัง ” ก็ว่า “ ขังตุ่ม ขังถัง ”
“ ใส่หมุด ” คำนี้ ถ้าเป็นหมุดแผง ก็ว่า “ สอดหมุด ” ถ้าเป็นหมุดตรึงหรือหมุดขัดสิ่งของใด ๆ ก็ว่า “ ตรึงหมุด ขัดหมุด ”
“ ใส่ยา ” ก็ว่า “ ทายา ปิดยา พอกยา ”
“ บ้วนใส่กระโถน ” ก็ว่า “ บ้วนลงกระโถน ”
มีบางคำที่ฟังดูเคอะเขิน เช่น การจะกราบบังคมทูลพระกรุณาถึงสิ่งที่สกปรกหรือลามกอนาจาร เช่น กราบบังคมทูลถวายรายงานอาการไข้ เมื่อจะกล่าวถึงการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มักใช้ว่า “ ไม่ควรจะกราบบังคมทูลพระกรุณาคนไข้ได้ปัสสาวะ ๕ ครั้ง อุจจาระ ๒ ครั้ง ” ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชบันทึกมาเป็นการล้อ ๆ ในรายงานอาการไข้ว่าเมื่อไม่ควรกราบบังคมทูลพระกรุณา แล้วบอกมาทำไม ” ดังนี้
ในสมัยรัชกาลที่
๖ พระองค์ได้โปรดให้ใช้ราชาศัพท์บางอย่าง
เช่น เงิน ๒ บาท ให้กราบบังคมทูลว่า
๒ บาทไม่โปรดให้ใช้แปดสลึงหรือกี่ตำลึง
ท่านว่าทำให้ย้อนไปนึกถึงความหยาบโลน แต่นี้เป็นเพียงพระราชอัธยาศัยภายในเท่านั้น
เเย่
ตอบลบ